วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

6 วิธี มีมนุษยสัมพันธ์



6 วิธี มีมนุษยสัมพันธ์

1. จริงใจ ความจริงใจของเรา ต่อเพื่อนร่วมงาน เหมือนพลังงานคลื่นพิเศษที่คนอื่น ๆ สัมผัสได้ เขารู้หรอกค่ะว่าเราจริงใจหรือเสแสร้ง ถ้าเราไม่จริงใจเขาก็จะไม่ไว้วางใจในการสร้างสัมพันธ์อันดีกับตัวเรา

2. ไร้ริษยา มัวเป็นคนขี้อิจฉา อยู่ใกล้ใครเราก็ไม่เป็นสุข เพราะเขารู้ว่าเราต้องหาทางแข่งดีแข่งเด่นกับเขา ไม่เชือดเฉือนด้วยวาจา ก็จะคอยหาโอกาสปัดแข้งปัดขา แล้วอย่างนี้เขาจะมาคบกับเราอย่างสนิทใจล่ะ
 
 3. อย่าป่วนจิต เป็นมาตามเจ้าปัญหาเรื่องมากจุกจิก ใครที่ต้องร่วมงานกับคุณต้องกุมขมับตาม ๆ กัน เขาคงไม่อยากสูงสิงด้วยแน่ ๆ สู้ไปสมาคมกับคนที่ทำงานง่าย ๆ สบาย ๆ ดีกว่ากันตั้งเยอะ
 
 
4. คิดมีน้ำใจ ถ้าเห็นใครเหน็ด เหนื่อยควรให้ความช่วยเหลือ ได้ทั้งออกแรงงานและออกแรงสมองช่วยคิดสลับกันไปตามโอกาสเหมาะ ๆ

5. ไม่นินทาชาวบ้าน ยิ่งชวนเพื่อสุม หัวนินทาคนอื่น จะยิ่งสร้างความเกลียดชังกันให้เกิดขึ้นระหว่างเพื่อร่วมงาน คุยถึงคนอื่นดี ๆ เข้าเถิด แล้วจิตใจจะแจ่มใสไปเองค่ะ

6. อ่อนหวาน และอ่อนโยน ต่อให้เราเป็นคนเก่งกาจที่สุดในบริษัท แต่แข็งกระด้าง พูดจาไม่เข้าหูคน นึกถึงแต่ตัวเอง มนุษย์ที่ไหนก็ไม่อยากเข้ามาสานสัมพันธ์ด้วยค่ะ ทุกคนต้องการความอ่อนหวานสักนิดก็ชื่นใจ

การพูดโน้มน้าวใจ



การพูดโน้มน้าวใจ  
การพูดโน้มน้าวใจ   หมายถึง การพูดเชิญชวน เกลี้ยกล่อม ชักจูงให้ผู้ฟังเกิดความ
เชื่อถือ ศรัทธา มีความคิดเห็นคล้อยตาม และปฏิบัติตาม เช่น การพูดโฆษณา การพูดหาเสียง
การพูดเชิญชวนให้ปฏิบัติตาม การพูดชักจูงให้เปลี่ยนแปลงทัศนคติ การพูดปลุกเร้าให้
เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ 
          ผู้พูดที่ดีย่อมจะพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟัง  เปลี่ยนแปลงทัศนคติและความเชื่อไปในทางที่ดี
อันจะเป็นประโยชน์แก่ตนเองและสังคม   การใช้ความสามารถในการพูดชี้แนะให้ผู้ฟังเห็นสิ่งดี
งาม ตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งนั้น และช่วยกันรักษาสิ่งที่ดีงามนั้นไว้ เช่น พูดเชิญชวนให้รัก
ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง พูดให้หันมานิยมรับประทานอาหารไทยแทนอาหารฟาสต์ฟูด
ของต่างชาติ พูดแนะนำให้เห็นความสำคัญของการเกณฑ์ทหารเพื่อรับใช้ชาติ
          การพูดโน้มน้าวใจให้ผู้ฟังเชื่อถือหรือกระทำตามทัศนะที่ผู้พูดเสนอนั้น    ควรจะต้อง
เป็นไปโดยความสมัครใจหรือความยินยอมพร้อมใจของผู้ฟัง มิใช่การบีบบังคับหรือการใช้อุบาย
อย่างอื่น เช่น แจกเงินให้รางวัลหรือการข่มขู่ ทั้งนี้เพราะความเชื่อที่ถูกบังคับให้เชื่อหรือทำ
ตามนั้น เป็นความเชื่อที่อยู่ได้ไม่นาน ย่อมสลายหายไปเมื่อขาดแรงจูงใจ การพูดโน้มน้าวใจที่ดี
และมีประสิทธิภาพ จึงไม่ควรบังคับ แต่จะต้องพูดให้ผู้ฟังตระหนักถึงความเป็นจริง แล้วเกิด
ความเชื่อถือที่จะกระทำตามด้วยความสมัครใจ
วิธีการพูดโน้มน้าวใจ
          การพูดโน้มน้าวใจก็เหมือนกับการพูดในที่ชุมชนประเภทอื่น ๆ นั่นคือ จะต้องมีการ
เตรียมตัวและมีการดำเนินการต่าง ๆ ให้พร้อมดังนี้
       ๑) กำหนดจุดมุ่งหมายในการพูดให้ชัดเจน
นักเรียนจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชี้เฉพาะว่าในการพูดครั้งนี้ต้องการให้ผู้ฟังเกิดการ
เปลี่ยนแปลงอะไร หรือต้องการเชิญชวนให้ผู้ฟังกระทำการอย่างใด เพื่อจะได้เตรียมเนื้อหาและ
วิธีการพูดให้สอดคล้องกับความต้องการนั้น
    ๒) การจัดลำดับเนื้อหาที่จะพูด
เนื้อหาสาระที่จะพูดนี้ ควรจะจัดวางให้เป็นระบบและเรียงลำดับขั้นตอน เช่นเดียวกับวิธีการพูด
แบบอื่น ๆ แต่มีความพิเศษ

ความหมายของธุรกิจ



ความหมายของธุรกิจ
-  กิจกรรมใดๆก็ตามที่ทําให้เกิดมีสินค้าหรือบริการขึ้นแล้วมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน
และมีวัตถุประสงค์จะได้ประโยชน์จากการกระทํากิจกรรมนั้น
-  การดําเนินงานกิจกรรมทางด้านการผลิต การจําหน่ายและการบริการ
-  วงจรอย่างหนึ่ง ซึ่งเริ่มตั้งแต่การนําทรัพยากรที่หาได้และปัจจัยต่างๆมาเปลี่ยนสภาพ
ด้วยวิธีการต่างๆ จนกระทั่งได้เป็นสินค้าหรือบริการออกมาเพื่อจะนําออกจําหน่ายให้แก่
ผู้บริโภค เมื่อจําหน่ายได้แล้วก็จะนํารายได้นั้นมาดําเนินการแปรสภาพทรัพยากรต่อไป
 
ประเภทและองค์ประกอบของการประกอบธุรกิจ
ประเภทของธุรกิจ
  สามารถแบ่งตามลักษณะของกิจกรรมที่กระทําได้ดังนี้
1.  ธุรกิจการเกษตร (Agriculture) คือธุรกิจที่ทําการผลิตทางด้านเกษตรกรรม
2.  ธุรกิจเหมืองแร่ (Mineral) คือธุรกิจการทําเหมืองแร่ การขุดเจาะ รวมทั้งการนําเอา
ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆมาใช้
3.  ธุรกิจอุตสาหกรรม (Manufacturing) คือธุรกิจการผลิตสินค้าและเครื่องอุปโภคทั่วไป
-  อุตสาหกรรมในครัวเรือน คืออุตสาหกรรมขนาดเล็ก ใช้แรงงานจากสมาชิกใน
ครอบครัวในช่วงเวลาว่างจากการประกอบอาชีพหลัก โดยใช้วัตถุดิบในครัวเรือน
-   อุตสาหกรรมโรงงาน คือ ธุรกิจซึ่งผู้ผลิตทําการผลิตจากโรงงาน มีการจ้างแรงงาน
จากแหล่งบุคคลภายนอก มีกระบวนการผลิต เครื่องมือ เครื่องจักรซึ่งสามารถผลิต
สินค้าได้ครั้งละมากๆ
4.  ธุรกิจการก่อสร้าง (Construction) คือธุรกิจที่นําเอาสินค้าสําเร็จรูปจากธุรกิจอื่นๆมาใช้
ในการก่อสร้าง
5.  ธุรกิจเกี่ยวกับพาณิชย์ (Commercial) คือธุรกิจที่เป็นช่องทางในการกระจายสินค้าจาก
ผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่างๆไปสู่ผู้บริโภค
6.  ธุรกิจการเงิน (Finance) คือธุรกิจที่ให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน เช่น การให้กู้ยืม
7.  ธุรกิจบริการ (Service) คือธุรกิจที่ให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกและสนองความ
ต้องการของธุรกิจและบุคคล
8.  ธุรกิจอื่น ๆ ได้แก่ธุรกิจที่นอกเหนือไปจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น  ผู้ประกอบ
อาชีพอิสระต่าง ๆ เช่น ครู แพทย์ เภสัช ฯลฯ
องค์ประกอบของการประกอบธุรกิจ
1.  การจัดองค์กร คือกิจกรรมที่ทําให้องค์การสามารถจัดรูปแบบการทํางานของบุคลากร
ภายในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.  การผลิตและปฏิบัติการ คือกิจกรรมของการนําเอาวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการในการ
ผลิตเพื่อทําให้เกิดมีสินค้าหรือบริการ
3.  การตลาด คือการดําเนินการเพื่อจะทําให้สินค้าหรือบริการที่ผลิตแล้วได้รับการเปลี่ยน
มือไปถึงมือผู้บริโภค
4.  การบัญชีและการเงิน คือการเก็บบันทึกข้อมูลการดําเนินงานการจัดทํางบการเงิน
งบประมาณ การจัดหาเงินทุน การใช้เงินทุนและลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริหาร
ให้เงินทุนหมุนเวียนอย่างพอเหมาะ
5.  การจัดหาวัตถุดิบมาป้อนโรงงาน คือกิจกรรมในการจัดซื้อและควบคุมการจัดซื้อ
วัตถุดิบ รวมทั้งการตรวจนับสินค้าคงคลัง
6.  การบริหารงานบุคคล คือการดําเนินการจัดสรรพนักงาน การฝึกอบรม การจัดหา
รูปแบบของการจูงใจและสวัสดิการต่างๆ เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารบุคคลซึ่ง
ส่งผลต่อความสําเร็จขององค์กร
7.  การจัดการระบบสารสนเทศและคอมพิวเตอร์ คือการนําเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา
ใช้เพื่อความมีประสิทธิภาพในการดําเนินงานด้านต่างๆ
8.  การวิจัยและพัฒนา  คือกิจกรรมเพื่อเน้นความคิดสร้างสรรค์ ค้นคว้านวัตกรรมใหม่ๆใน
ผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อความพึงพอใจของผู้บริโภคอย่างสูงสุด

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการเป็นนักอ่านที่ดี



เทคนิคการเป็นนักอ่านที่ดี
การอ่านเป็นหนึ่งในสี่ทักษะทางภาษาที่จำเป็นต้องฝึกฝนอยู่เสมอ และไม่มีวันสิ้นสุดสามารถฝึกได้เรื่อย ๆ ตามวัยและประสบการณ์ของผู้อ่าน เพราะการอ่านนั้นจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์ได้รับความรู้ ความคิด และความบันเทิงใจ ช่วยปรับปรุงชีวิตให้สดใสสมบูรณ์ ดังคำกล่าวของ เซอร์ ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาเมธีชาวอังกฤษที่ว่า การอ่านทำคนให้เป็นคนโดยสมบูรณ์
ความหมายของการอ่าน
การอ่านเป็นพฤติกรรมการรับสารที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการฟัง ปัจจุบันมีผู้รู้นักวิชาการและนักเขียนนำเสนอความรู้ ข้อมูล ข่าวสารและงานสร้างสรรค์ ตีพิมพ์ ในหนังสือและสิ่งพิมพ์อื่น ๆ มาก นอกจากนี้แล้วข่าวสารสำคัญ ๆ หลังจากนำเสนอด้วยการพูด หรืออ่านให้ฟังผ่านสื่อต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะตีพิมพ์รักษาไว้เป็นหลักฐานแก่ผู้อ่านในชั้นหลัง ๆความสามารถในการอ่านจึงสำคัญและจำเป็นยิ่งต่อการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในสังคมปัจจุบัน
ความสำคัญของการอ่าน
ในสมัยโบราณที่ยังไม่มีตัวหนังสือใช้ มนุษย์ได้ใช้วิธีเขียนบันทึกความทรงจำและเรื่องราวต่าง ๆ เป็นรูปภาพไว้ตามฝาผนังในถ้ำ เพื่อเป็นทางออกของอารมณ์ เพื่อเตือนความจำหรือเพื่อบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วย แสดงถึงความพยายามและความปรารถนาอันแรงกล้าของมนุษย์ ที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ของตนเป็นสัญลักษณ์ที่คงทนต่อกาลเวลาจากภาพเขียนตามผนังถ้ำ ได้วิวัฒนาการมาเป็นภาษาเขียนและหนังสือ ปัจจุบันนี้หนสือกลายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อมนุษย์จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัจจัยอันหนึ่งในการดำรงชีวิตคนที่ไม่รู้หนังสือแม้จะดำรงชีวิตอยู่ได้ก็เป็นชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ไม่มีความเจริญ ไม่สามารถประสบความสำเร็จใด ๆ ในสังคมได้หนังสือและการอ่านหนังสือจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
การอ่านในทางการสื่อสาร
การอ่านในทางการสื่อสาร เป็นการรับรู้สารโดยการดูตัวหนังสือจากการเขียน แต่ในบางทีอาจครอบคลุมถึง การดูสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นอวัจนภาษา เช่น การอ่านแผนที่ การอ่านป้าย หรือ การนำใช้นิ้วลูบในการอ่านอักษรเบรลล์ เป็นต้น การอ่านมีความหมายโดยกว้างว่า การดู(หรือสัมผัสในกรณีอักษรเบรลล์) โดยวิเคราะห์ไตร่ตรองสารด้วย
อุปสรรคในการอ่าน
อุปสรรคในการอ่านแบ่งได้สองประการคือ
1. อุปสรรคภายนอก หมายถึงการมีแสงรบกวน หรือไม่มีปัจจัยเพียงพอในการอ่าน เช่น อยู่ในที่มืด เป็นต้น
2. อุปสรรคภายใน หมายถึงปัญหาทางด้านตา เช่นปัญหาสายตา ตาฝ้าฟาง ตาบอด หรือมีความพิการในด้านการสูญเสียการมองเห็น เป็นต้น
การจะเป็นนักอ่านที่ดีได้นั้นต้องเริ่มพัฒนาและฝึกฝนตนเองให้เกิดลักษณะนิสัยและคุณลักษณะที่ดีของนักอ่าน มีแนวทางการฝึกดังต่อไปนี้
1. พยายามสร้างนิสัยตนเองให้รักการอ่าน โดยพยายามอ่านหนังสือทุกประเภทที่จะให้ประโยชน์และอ่านบ่อยๆ จนเกิดเป็นนิสัย
2. ฝึกฝนการอ่านหนังสือให้รวดเร็วและจับใจความให้ได้ วีธีการก็คือต้องใช้ช่วงสายตาให้กว้างพยายามให้ไม่มีจุดสะดุด หรือสายตาหยุดนิ่ง เพื่อจะให้อ่านได้รวดเร ขณะที่อ่านก็พยายามจับใจความไปด้วย
3. ฝึกฝนตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่าน คือ อ่านเพราะต้องรู้ อ่านเพราะความรู้ และอ่านเพราะอยากรู้ การที่จะเป็นคนเก่งกว่าหรือว่ามีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นได้เราต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านแล้วพยายามทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นให้ได้
4. ฝึกสังเกตส่วนประกอบของหนังสือ เช่น ปก คำนำ สารบาญ คำนิยม หัวข้อเรื่อง บรรณานุกรม จะทำให้เราเข้าใจสิ่งที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น
5. ใช้เทคนิคหรือองค์ประกอบอื่นๆ เข้าช่วย เช่น สร้างบรรยากาศ ทำจิตใจให้มีสมาธิ ใช้ประสาททุกส่วนให้ช่วยจำ ตั้งใจให้แน่วแน่ ทำอารมณ์ให้สดชื่น แจ่มใส
ทำได้เท่านี้น้องๆ ก็จะเป็นนักอ่านที่ดีได้ในอนาคตแน่นอนค่ะ เพราะการอ่านเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ